เริ่มเดินทางตั้งแต่เช้าใช้เวลาเดินทางราว 4 ชั่วโมง ระหว่างทางที่ขับไปโฮมสเตย์นั้นค่อนข้างจะวิบาก แต่พอไปถึงแล้ว ชื่นใจแบบไร้คำบรรยาย วิวที่พักที่เห็นอ่าวที่ไกลแบบสุดลูกหูลูกตา แถมยังมีวิวป่าไม้ชายเลนอีก
เมื่อมาถึงท้องก็ร้องแล้วสิ ยังดีที่ป้าอ่อนผู้ดูแลโฮมสเตย์จัดเตรียมข้าวไว้ให้เรา ซีฟู้ดสดๆ ไหนจะผัดผักอีก หลังจากกินเสร็จก็ขอไปนั่งเล่นที่ระเบียงหน้าห้องพักสักนิด บ้านพักไม้ถึงจะไม่ได้เลิศหรู แต่ให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน ส่วนระเบียงริมน้ำหน้าห้องพักก็สุดแสนจะชิล ชิลจนได้หลับกลางวันไปสักพักใหญ่
ยามบ่ายแก่ๆ ได้เวลาชมทะเลแหวกกันซะหน่อย ได้ยินมานานแต่ไม่เคยไปสักที วิวขณะนั่งเรือนั้นสวยเกินบรรยาย จุดแรกที่แวะไปคือการให้อาหารเหยี่ยว เกิดมาไม่เคยให้เหยี่ยวเยอะขนาดนี้มาก่อน แถมยังเห็นตอนมันโฉบเอาอาหารด้วยนะ เท่สุดๆ
จากนั้นมาต่อกันที่ทะเลแหวก ตอนแรกพี่ที่ขับเรือบอกให้ลงไปยืนได้เลย เราเองเห็นเรือจอดอยู่กลางทะเลก็ยังไงอยู่ แต่หลังจากเพื่อนลงไปแล้วจึงค่อยตามไปต่อ ถ่ายรูปมุมไหนก็สวย พี่เขาบอกอีกว่าตอนนี้น้ำทะเลกำลังขึ้น แต่ถ้าน้ำลงแล้วจะเห็นเป็นพื้นดิน
สุดท้ายเราก็ได้แวะหมู่บ้านไร้แผ่นดินไม่น่าเชื่อว่าจะมีชุมชนกลางน้ำขนาดใหญ่แบบนี้อยู่ ขณะที่เราเดินทางกลับเห็นพระอาทิตย์กำลังตกดิน ท้องฟ้าสีแดงอมชมพูสวยงามไร้คำบรรยาย เมื่อถึงฝั่งก็ถึงเวลาอาหารเย็น มีซีฟู้ดแบบจัดเต็มเตรียมไว้ ไม่ว่าจะเป็นทั้งปู ปลา หอย กุ้ง กินจนพุงกางเลยที่เดียว
เช้าวันรุ่งขึ้นฝนตกหนักมาก แต่ยังดีที่มีข้าวต้มร้อนๆ กับกับข้าวแสนอร่อยมาให้ทาน เรียกว่าทานไม่หมดเลยทีเดียว
จากนั้นก็ออกเดินทางกลับสู่ชีวิตความเป็นจริงที่กรุงเทพฯ กันครับ ถ้าใครอยากได้ที่พักริมน้ำกับอาหารซีฟู้ดอร่อยๆ แนะนำที่นี้ครับมาแล้วจะไม่ผิดหวัง